เปิดวิธีคำนวณหนี้ กยศ. แบบใหม่ล่าสุด ตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ยปรับ ส่งผลดีต่อผู้กู้ และช่วยลดภาระผู้ค้ำ
เว็บไซต์สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีเตรียมประกาศแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ยอมรับว่า หลังจากปัญหาโควิด-19 ทุกคนประสบปัญหา จึงมียอดกู้เงิน กยศ. สูงสุดในรอบ 20 ปี มียอดปล่อยกู้ 46,000 ล้านบาท จากผู้กู้เงินหรือนักเรียนทุนรัฐบาล 7 แสนคน ในปี 2567 คาดว่ายอดกู้เงินประมาณ 45,000 ล้านบาท อยากย้ำว่าทุกคนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม กยศ. จึงขอเป็นหลักประกันให้กับทุกครอบครัว เพื่อให้เข้าถึงการศึกษา
ในการหารือแก้หนี้ กยศ. ตาม พ.ร.บ.กยศ. ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 20 มี.ค.66 โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าเดิม และให้คำนวณภาระหนี้ใหม่ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกิน 1% ต่อปี (จากเดิม 1% ต่อปี)
- กรณีผิดนัดชำระ ลดอัตราเบี้ยปรับเหลือไม่เกิน 0.5% ต่อปี (จากแต่เดิม 7.5% ต่อปี)
- ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในทุกกรณี
- เพิ่มให้มีการกู้เรียนในหลักสูตรระยะสั้น และให้ทุนการศึกษา
- ปรับลำดับการตัดชำระหนี้ใหม่ โดยหักต้นเงินเฉพาะส่วนที่ครบกำหนดก่อน ตามมาด้วยดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นใด และเงินเพิ่มตามลำดับ
- เพิ่มจำนวนงวดชำระเป็นรายเดือน รายไตรมาส และรายปี (จากแต่เดิมมีเฉพาะงวดชำระรายปี)
- ช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี หรืออยู่ระหว่างการบังคับคดี ให้สามารถผ่อนผันการชำระเงินคืน ปรับโครงสร้างหนี้ หรือแปลงหนี้ใหม่ ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด
วิธีคำนวณหนี้ กยศ. รูปแบบใหม่ ที่จะทำให้หนี้ลดเร็ว
- หักเงินต้นก่อน
- หักดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่
- หักดอกเบี้ยผิดนัดชำระ
ขณะนี้ ลูกหนี้ กยศ.ทั่วประเทศมีประมาณ 6.7 ล้านคน มูลหนี้ประมาณ 743,981 ล้านบาท หากบังคับใช้กฎหมายใหม่ ตาม พ.ร.บ.กยศ. จะช่วยลดภาระหนี้
เมื่อคำนวณหนี้สินแบบใหม่ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ เมื่อตัดเงินต้นที่ครบกำหนด แล้วค่อยตัดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ จะทำให้ลดภาระหนี้ได้มากขึ้น สิ่งเป็นประโยชน์มากที่สุด คือ ย้อนหลังไปถึงวันแรกของการกู้เงิน ด้วยการนับถอยหลังให้หมดทุกคน ด้วยการคำนวณหนี้ใหม่ทั้งระบบ