Admincsl

“ทองคำ” บวก 300 บาท เงินบาทอ่อนหนุนราคาพุ่ง

ทองคำบวก 300 บาท

“ทองคำ”ในประเทศ เปิดตลาดบวก 300 บาท รับบาทอ่อน 33.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สวนทาง ราคาทองคำโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง 2 วัน จากแรงกดดันเงินดอลลาร์แข็งค่า “ ทองรูปพรรณ”ขายออกวันนี้ 42,150 บาท

วันนี้ (4 ต.ค.2567) เว็บไซต์ “ฮั่วเซ่งเฮง” ภาพรวมความเคลื่อนไหวทั้งวัน พบว่า ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ซึ่งได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังจากดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย. โดย ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 54.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2566 ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งอิสราเอลได้โจมตีศูนย์บัญชาการหน่วยข่าวกรองของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในกรุงเบรุตของเลบานอน ส่วนกองทุน SPDR ซื้อทอง 2.58 ตัน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 148,000 ตำแหน่ง จากที่เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานเดือนก.ย. ตลาดคาดจะทรงตัวที่ 4.2% และค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเดือนก.ย.

“ฮั่วเซ่งเฮง” วิเคราะห์ราคาทอง ระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลง หลังจากสัญญาณทางเทคนิคทั้ง MACD และ Modified Stochastic ของราคาทองคำใน Timeframe Day เกิดเส้นตัดกันลงมา อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของราคาทองคำไม่มากนัก ทั้งนี้ในช่วงกลางวันนี้ราคาทองคำอาจยังเคลื่อนไหว Sideways

ส่วน ราคาทองตลาดโลก แนวรับ : 2,640 และ 2,630 ดอลลาร์ แนวต้าน : 2,670 และ 2,680 ดอลลาร์ ระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลง หากเก็งกำไรระยะสั้น สามารถเปิดสถานะขายบริเวณ 2,670 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,680 ดอลลาร์ และ Take profit บริเวณ 2,640 ดอลลาร์

ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 41,450 และ 41,350 บาททท แนวต้าน : 41,750 และ 41,850 บาท เงินบาทอ่อนค่ามากสุด 33.19 บาท ซึ่งหนุนราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเงินบาทอ่อนค่าจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง แม้ราคาทองคำโลกจะปรับตัวลง แต่การปรับตัวลงไม่มากนัก ทำให้ราคาทองคำแท่งยังคงสดใส และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะนำ Let Profit Run

สำหรับ ราคาทองบวก 300 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,650 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,550 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 42,150บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,795.56 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,658.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.16 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,706 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,913 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,325 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 42,150 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ต.ค. บวก 1,250 บาท

เช็กลงทะเบียนแอพพ์ ทางรัฐ รับดิจิทัล เงิน10000 อยู่ขั้นตอนไหน มีสิทธิลุ้นเงินเฟส

รับดิจิทัลเงิน10000

กลุ่มเปราะบางและกลุ่มพิการ ได้รับเงิน 10,000 บาท ตาม “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นวันแรก และวันพรุ่งนี้ (26 กันยายน 2567) จะมีการโอนให้กลุ่มเปราะบางอีก 4.5 ล้านคน เป็นวันที่ 2

ซึ่งกรมบัญชีกลาง จะโอนให้กับกลุ่มเปราะบางผ่านบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์บัตรประชาชน

สำหรับเฟส 2 ซึ่งจะมีการโอนให้กับกลุ่มทั่วไปที่ได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งซึ่งในระบบแอพพ์ทางรัฐ บางคนขึ้นว่าอยู่ในขึ้นที่ 3 หรือ 4 หมายความว่าอะไร

วิธีตรวจสอบสิทธิเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท มีขั้นตอนดังนี้

1.เปิดแอพพ์ทางรัฐ เข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย จากนั้นกดปุ่มตรวจสอบสถานะ

2.ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล และขอยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน ให้ท่านกดปุ่มยืนยันข้อมูล

3.กรอกเบอร์โทรศัพท์และกดปุ่มรับรหัสทาง SMS (OTP)

4.กรอกรหัส OTP และกดปุ่มยืนยันโทรศัพท์มือถือ

5.จากนั้นกดปุ่มอนุญาต ให้แอพพลิเคชั่นเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

6.ระบบจะแสดงผลว่า สถานะในการรับสิทธิตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของท่านอยู่ในขั้นตอนใด

โดยหากอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือระบบอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ

หากอยู่ในขั้นตอนที่ 4 คือท่านไม่ได้รับสิทธิ

หากอยู่ในขั้นตอนที่ 5 คือท่านได้รับสิทธิตามโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลตส่วนระยะเวลา ยังไม่ได้กำหนดวันซึ่งกระทรวงการคลังรับปากว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 เตรียมแจกเงิน 1 หมื่น 25 ก.ย. 67

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 19 กันยายน 2567 มีรายงานว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 (โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดิม) ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ จำนวน 14.55 ล้านคน คนละ 10,000 บาท โดยอนุมัติงบประมาณ 145,552 ล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมที่จะจ่ายเงิน ดังนี้

  • วันที่ 25 กันยายน 2567 โอนเงินให้คนพิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 0 จำนวน 3.28 ล้านคน
  • วันที่ 26 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 1-3 จำนวน 4.51 ล้านคน
  • วันที่ 27 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 4-7 จำนวน 4.51 ล้านคน
  • วันที่ 30 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนหลักสุดท้าย เลข 8-9 จำนวน 2.26 ล้านคน

สำหรับกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่

  • ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567
  • ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
  • ครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567

เมื่อพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ โดยเงิน 10,000 บาท สามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยไม่จำกัดประเภทร้านค้า โดยคาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.35 ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

สำหรับช่องทางหลักในการตรวจสอบสิทธิและผลการได้รับเงินในโครงการ โดยสามารถตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

1. เว็บไซต์ https://โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ2567.cgd.go.th 
2. เว็บไซต์ https://govwelfare.cgd.go.th 
3. เว็บไซต์ https://govwelfare.dep.go.th/check  (เฉพาะคนพิการ)
4. แอปพลิเคชัน “รัฐจ่าย” (โดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง)
5. ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ โทร 0 2109 2345 กด 1 กด 5 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง

สำหรับเฟส 2 กลุ่มผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไว้แล้วประมาณ 36 ล้านคน ยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัด โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการดำเนินการในเฟส 2 คงต้องมี เพราะมีคนลงทะเบียนเข้ามาแล้ว ซึ่งในระยะถัดไปรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา 1 ชุด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณที่มีอยู่ รวมทั้งรายละเอียดอื่น ๆ ที่จะต้องเดินหน้าต่อไปด้วย

จากนี้ไปจะมีคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมานั่งดูอย่างรอบคอบ จะดูในหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งจะจ่ายเงินอย่างไร จ่ายเมื่อไหร่ จ่ายด้วยวิธีไหน ก็คงต้องมานั่งดูกันอีกที โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจตลอดปีนี้ที่อยากให้ได้ 3% แม้ไม่ถึงก็ใกล้เคียง

ราคาทองวันนี้ (12 ก.ย. 67) ขยับขึ้น 50 บาท ทองรูปพรรณ 40,750 บาท

ราคาทองวันนี้

ทองคำแท่งมีราคารับซื้อในประเทศอยู่ที่บาทละ 40,150 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 40,250 บาท ตามประกาศครั้งที่ 4 ของวันนี้

ด้านราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 39,431.16 บาท และมีราคาขายออกที่ 40,750 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 2,519.00 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

สรุปราคาทองคำ วันที่ 12 ก.ย. 2567

ประกาศครั้งที่ 4

ทองแท่ง

• รับซื้อ บาทละ 40,150 บาท

• ขายออก บาทละ 40,250 บาท

ทองรูปพรรณ

• รับซื้อ บาทละ 39,431.16 บาท

• ขายออก บาทละ 40,750 บาท

ประกาศครั้งที่ 3

ทองแท่ง

• รับซื้อ บาทละ 40,100 บาท

• ขายออก บาทละ 40,200 บาท

ทองรูปพรรณ

• รับซื้อ บาทละ 39,385.68 บาท

• ขายออก บาทละ 40,700 บาท

ประกาศครั้งที่ 2

ทองแท่ง

• รับซื้อ บาทละ 40,050 บาท

• ขายออก บาทละ 40,150 บาท

ทองรูปพรรณ

• รับซื้อ บาทละ 39,325.04 บาท

• ขายออก บาทละ 40,650 บาท

ประกาศครั้งที่ 1

ทองแท่ง

• รับซื้อ บาทละ 40,100 บาท

• ขายออก บาทละ 40,200 บาท

ทองรูปพรรณ

• รับซื้อ บาทละ 39,385.68 บาท

• ขายออก บาทละ 40,700 บาท

เงินดิจิทัล 10,000 บาท กลุ่มสมาร์ทโฟน หมดเขตลงทะเบียนแอปทางรัฐ 15 ก.ย. 67

เงินดิจิทัล

กระทรวงการคลัง เปิดกรอบเวลาการลงทะเบียนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย. 67 สอดคล้องกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA โพสต์ข้อความระบุว่า สำหรับผู้ที่มีสมาร์ตโฟน ลงทะเบียน Digital Wallet บนแอปฯ ทางรัฐ ได้ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 เท่านั้น

คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท

  • อายุ 16 ปีบริบูรณ์ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 67 (ต่อให้เด็กมีอายุ 16 ปีขึ้นไป แต่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาทขึ้นไป แม้จะเป็นเงินที่พ่อแม่ออมให้ลูกก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ เพราะเป็นผู้มีรายได้ อีกทั้งเกณฑ์เงินฝากในบัญชีระบุไว้ชัดเจนว่า หากเกิน 500,000 บาท ถูกตัดสิทธิ์)
  • เกณฑ์รายได้วัดจากฐานข้อมูลเงินได้ของกรมสรรพากร ณ ปี 2566 ซึ่งสิ้นสุดไปแล้วเมื่อ 31 ธ.ค. 66 กำหนดว่าจะต้องไม่เกิน 840,000 บาท หรือมีเงินเดือนไม่เกิน 70,000 บาท
  • เกณฑ์เงินฝากกำหนดไม่เกิน 500,000 บาท นับเฉพาะเงินฝากสกุลบาท รวมกันทุกบัญชี ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น
    • บัญชีเงินฝากประจำ
    • บัญชีเงินฝากออมทรัพย์
    • บัตรเงินฝาก
    • ใบรับเงินฝาก
    • เงินฝากกระแสรายวัน

ไม่นับรวมสลากออมทรัพย์สลากออมสิน หุ้น พันธบัตร โดยนับวันสิ้นสุด 31 มี.ค. 67

ขั้นตอนลงทะเบียนเงินดิจิทัล

  1. ดาวน์โหลดแอปฯ “ทางรัฐ”
    1. iOS : App Store 
    1. Android : Google Play
  2. เปิดแอปฯ ทางรัฐ แล้วกด “ลงทะเบียนรับสิทธิ
  3. อ่านเงื่อนไขและกด “ถัดไป” 
  4. กรอกข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้องแล้วกด “ตรวจสอบข้อมูล” และ “ดำเนินการต่อ
  5. อ่านข้อแนะนำ และ สแกนใบหน้า ระบบจะแสดงผลการรับข้อมูลการลงทะเบียนและตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล
  6. เมื่อระบบตรวจสอบเสร็จ กด “สร้างบัญชีทางรัฐ” 
  7. ตั้งชื่อบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่าน กด “ยืนยัน” ตั้งรหัส Pin Code 6 หลัก

สินเชื่อรายย่อย ดัน NPL พุ่งต่อ “หนี้เสียบ้าน” ลามกลุ่มรายได้สูงกว่า 3 หมื่น

สินเชื่อรายย่อย ดัน NPL พุ่งต่อ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2/2567 พบว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลงที่ 0.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อธุรกิจโดยรวมทรงตัวที่ระดับ 2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหดตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์


ขณะที่ สินเชื่อ SMEs หดตัวต่อเนื่องที่ 5.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหดตัวในอุตสาหกรรมพาณิชย์ ค้าส่งและค้าปลีก ยานยนต์และไฟฟ้า ด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขยายตัวชะลอลงตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ปรับสูงขึ้น โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ชะลอลงที่ 0.8% โดยเฉพาะบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท สินเชื่อส่วนบุคคลชะลอลงที่ 5.8%

ในขณะที่ สินเชื่อบัตรเครดิต หดตัวลง 0.2% เช่นเดียวกับสินเชื่อเช่าซื้อที่หดตัวหนัก 4.8% เนื่องจากคนชะลอการซื้อรถยนต์ ประกอบกับพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมซื้อรถยนต์


ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 2/2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.84% โดยคุณภาพสินเชื่อด้อยลง จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคเป็นหลัก โดยเฉพาะพอร์ตที่อยู่อาศัย เนื่องจากลูกหนี้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือช่วงโควิด กลับมาเป็นหนี้เสีย รวมถึงลูกหนี้บางรายที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่เท่าเทียม โดยรายได้กระจุกตัวในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 

กสทช.อนุมัติงบให้เอกชน 3 ราย ติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน

กสทช.อนุมัติงบให้เอกชน

นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช.เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567 ได้อนุมัติกรอบวงเงิน การจัดทำระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) เฉพาะเงินสนับสนุนระบบ Cell Broadcast Center (CBC) Core Network Radio Network และค่าบำรุงรักษาระบบ (MA) ให้กับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวอร์ค จำกัด ในเครือเอไอเอส, บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จำนวน 3 ปี รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,030 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตวงเงินที่ทาง NT ขอมาราว 200 ล้านบาทว่าอาจสูงเกินไปกับฐานลูกค้าที่มี จึงให้ไปทำตัวเลขมาใหม่ โดยวงเงินที่อนุมัติให้กับเอไอเอสและทรู แต่ละรายมีจำนวน 374 ล้านบาท เป็นการลดหย่อนจากเงินที่เอไอเอสและทรูจะต้องนำส่งเพื่อสมทบกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ในแต่ละปี โดยให้ลดหย่อนได้ไม่เกินปีละ 200 ล้านบาท

นพ.สรณกล่าวอีกว่า การสนับสนุนให้เกิดระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือเป็นนโยบายเร่งด่วนในปีนี้ของ กสทช.เพื่อที่ระบบดังกล่าวจะเปิดให้บริการได้ภายในช่วงกลางปี 2568 โดยขณะนี้ผู้ให้บริการมือถือได้ทดสอบระบบเตรียมความพร้อมแล้ว ทั้งนี้ ระบบแจ้งเตือนภัยจะเชื่อมกับระบบสั่งการของรัฐบาล ที่จะเป็นผู้แจ้งเตือนภัยผ่านผู้ให้บริการมือถือ เป็นเทคโนโลยีมาตรฐานสากลที่ใช้แพร่หลายทั่วโลก

หุ้นเด้งแรง-บาทอ่อนรับนายก “อุ๊งอิ๊งค์”

หุ้นเด้งแรงบาทอ่อนรับนายก

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวันที่ 16 ส.ค. 2567 ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด และปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในระหว่างการโหวตเลือกนาวสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายก รัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ขณะหุ้นที่ถูกเกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตร โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่าง บมจ.บริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ปรับขึ้นแรง รวมทั้งหุ้น บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9) ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทะลุ 1,300 จุด มาปิดตลาดที่ 1,303.00 จุด เพิ่มขึ้น +13.16% มูลค่าการซื้อขายรวม 35,657.72ล้านบาท

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีภาพเป็นบวกเนื่องจากความคาดหวัง ประเด็นการเมืองที่ต้องมีนายกฯคนใหม่โดยเร็ว โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้ผ่านการเห็นชอบด้วยเสียงเกินครึ่ง ซึ่งการได้ผู้นำจากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ย่อมทำให้การสานต่อนโยบายเศรษฐกิจต่างๆเดินหน้าต่อได้อย่างรวดเร็ว

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุน 1.กลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุนภาครัฐได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง CK, SCCC และ TASCO เป็นต้น 2.หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์ ได้แก่ KTB, TTB, KBANK, CPALL และ AOT เป็นต้น ส่วนหุ้นที่เกี่ยวโยงกับการเมืองที่มีแรงเก็งกำไร เช่น SC และ PR9 ประเมินหุ้น PR9 มีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน เนื่องจากผลประกอบการอยู่ในทิศทางที่ดี อีกทั้งไตรมาส 3 เป็นไฮซีซันของกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลค่าเงินบาทปิดตลาด วันที่ 16 ส.ค.ที่ 35.03 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดที่ระดับ 34.99/35.02 บาท โดยเงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 34.98-36.15 บาท ขณะที่ช่วงบ่ายหลังรู้ผลนายกฯคนใหม่เป็นไปตามคาด ค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่งใกล้เคียงกับ 35 บาทต่อดอลลาร์

วิธีตรวจสอบสิทธิเงินดิจิทัล บนแอปทางรัฐ

ตรวจสอบสิทธิเงินดิจิทัล

กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนที่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต บนแอปทางรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย. 67 เมื่อลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตบนแอปทางรัฐ เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบสิทธิเงินดิจิทัล

วิธีตรวจสอบสิทธิเงินดิจิทัลบนแอปทางรัฐ

1. เปิดแอปฯทางรัฐ ทำการเข้าสู่ระบบให้เรียบร้อยจากนั้นกดปุ่ม “ตรวจสอบสถานะ”
2. ระบบอนุญาติเข้าถึงข้อมูลและขอยืนยันเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนให้ท่านกดปุ่ม ยืนยันข้อมูล
3. กรอกเบอร์โทรศัพท์และกดปุ่ม รับรหัสทาง SMS (OTP)
4. กรอกรัหส OTP และกดปุ่มยืนยันโทรศัพท์มือถือ
5. จากนั้นกดปุ่ม อนุญาต ให้แอปฯ เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
6. ระบบจะแสดงผลว่า สถานะในการับสิทธิ ตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของท่าน อยู่ในขั้นตอนใด

  • หากอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือ ระบบอยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ
  • หากอยู่ในขั้นตอนที่ 4 คือ ไม่ได้รับสิทธิ
  • หากอยู่ในขั้นตอนที่ 5 คือ ได้รับสิทธิตามโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท

ทั้งนี้ ประกาศผลการรับสิทธิตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 67 เป็นต้นไป

ธอส. ช่วยลูกค้าสบายกระเป๋า ขยายเวลาผ่อนบ้าน-ลดเงินงวด

ธอส

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการขยายระยะเวลาให้ลูกค้าผ่อนชำระเงินงวดได้ไม่เกิน 80 ปี หรือ 85 ปี จากเดิมผ่อนชำระเงินงวดได้ไม่เกิน 70 ปี หรือ 75 ปี เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ และเพิ่มศักยภาพในการผ่อนชำระ สามารถยื่นคำร้องและทำนิติกรรมได้ถึง 30 ธ.ค.67

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยว่า ธอส. ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ด้วยการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ และเพิ่มความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร โดยการขยายระยะเวลาการให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี จากเดิมอายุผู้กู้รวมกับระยะเวลากู้ต้องไม่เกิน 70 ปี หรือ 75 ปี ขยายเป็นไม่เกิน 80 ปี หรือ 85 ปี แล้วแต่กรณี

ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาการให้กู้ดังกล่าว จะทำให้เงินงวดในการผ่อนชำระรายเดือนของลูกค้าลดลง เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการผ่อนชำระเงินงวด และช่วยลูกค้าให้ยังคงสามารถรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป