ข่าววันนี้

อัพเดทล่าสุด เงิน 10,000 เฟส 2 เฟส 3 ผู้สูงอายุ เช็คด่วน จะได้ตอนไหน

เงินดิจิทัลหรือเงินดิจิตอล 10000 อัพเดทล่าสุดว่า “เงิน 10,000 เฟส 2 เฟส 3” และ ผู้สูงอายุ 50-60 ปี เช็คด่วน รัฐมนตรีคลังชี้แจงวันนี้ จะได้เงินตอนไหนอย่างไร

เกิดคำถามมากมายในตอนนี้ว่า เงินดิจิทัล 10000 เฟส 3 , แจกเงินดิจิทัล 10000 , เงิน 10,000 เฟส 2 ลงทะเบียน , แจกเงิน 10,000 ผู้ สูงอายุ ,โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท , เงินหมื่น เฟส 2 ล่าสุด , เงินดิจิทัล 10,000 บาท ผู้สูงอายุ

กรุงเทพธุรกิจเช็กคำตอบจาก จุลพันธุ์  อมรวิวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน 10,000 บาท สองเฟสสำหรับผู้สูงอายุ ยังไม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้แต่ยืนยันว่ายังเป็นไปตามกรอบเวลาคือภายในวันที่ 29 มกราคม 2568

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การแจกเงิน 10000 เฟส 2 ในช่วงเวลาดังกล่าวถูกโยงไปกับการเลือกตั้งนายก อบจ. ทั่วประเทศ  รมต.จุลพันธุ์ หัวเราะ พร้อมย้อนถามอยากให้แจกวันที่ 1 กุมภาพันธ์หรอ ถ้าอยากให้แจกเดือนกุมภาพันธ์ก็บอกมา พร้อมย้ำว่ากระบวนการยังอยู่ในกรอบเวลา

ค้านปรับแวต7%เป็น15% ชาวบ้านโอดขึ้นทุกสิ่งอย่างแต่คุณภาพชีวิตแสนรันทด

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. เสียงดังขึ้นรอบทิศทันที เมื่อนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยเตรียมปรับโครงสร้างภาษีชุดใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องภาษีนิติบุคคล แต่ที่น่าจับตาและมีเสียงวิจารณ์ขึ้นมาทันทีก็คือการเตรียมการสำหรับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต จากเดิมร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 15

โดยนายพิชัย ระบุว่า ภาษีนิติบุคคลปัจจุบันทั่วโลกจัดเก็บที่ระดับ 15% แต่ไทยจัดเก็บอยู่ที่ 20% ดังนั้น ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ภาษีดังกล่าวปรับลดลงมา เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กอย่างทนายเกิดผล แก้วเกิด ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า ปรับ VAT จาก 7% เป็น 15% เสียภาษีเหมือนสวิสฯ แต่ คุณภาพชีวิต เหมือนเอธิโอเปียซึ่งหลังจากที่ได้มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีชาวโลกออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการขึ้นภาษี

-เพราะขึ้นทุกสิ่งอย่างแต่คุณภาพชีวิตแสนรันทด

-จริงๆ ​ครับ​ทำให้​ซื้อ​สินค้า​แพง​ขึ้น ​ค่าครองชีพ​เพิ่มขึ้น​แต่ค่าแรง​เท่าเดิม ​ภาระ​ตกอยู่กับ​ประชาชน​รากหญ้า​ผู้​มี​รายได้​น้อย​ คนรวยก็รวยเอาๆ.. ประชาชน​จะอยู่ดีกินดีขายฝัน

-เศร้าใจ

-มีครั้งหนึ่งคุณทักษิณ กล่าวโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่า “คิดได้ไง เศรษฐกิจไม่ดี ดันคิดจะขึ้นภาษี เพิ่มภาระให้ประชาชน เป็นผมจะทำตรงข้าม เพื่อให้ประชาชน มีเงินไปหมุนเวียนใช้จ่ายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ” มาวันนี้ มีข่าวว่า รัฐบาล ซึ่งมีลูกสาวคุณทักษิณเป็นนายกฯ มีความคิดจะขึ้นภาษี กระโดดจาก 7% เป็น 15% และจะเพิ่มการเก็บเงินประกันสังคมในแต่ละเดือนด้วย ก็ไม่รู้ว่า ประสาทกลับหรืออย่างไร

คนไทยว่างงานกว่า 4.14 แสนคน ชี้ 65% บอกหางานทำไม่ได้

สภาพัฒน์เผย คนไทยว่างงานกว่า 4.14 แสนคน พบส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงสุด ขณะที่ว่างงานเกิน 1 ปีเพิ่มขึ้น 16% โดย 65% บอกหางานทำไม่ได้ ขณะที่ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า การจ้างงานค่อนข้างทรงตัว โดยมีผู้มีงานทำมีจำนวน 40 ล้านคน ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2566 เล็กน้อยที่ 0.1%

สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.02% เพิ่มขึ้นจาก 0.99% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีผู้ว่างงานเฉลี่ยจำนวน 4.14 แสนคน ต่ำกว่าผู้ว่างงานจำนวน 4.29 แสนคน ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าผู้ว่างงานจำนวน 4.01 แสนคน ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

เมื่อจำแนกผู้ว่างงานตามระดับการศึกษา ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับผู้ที่มีการศึกษาสูงสุดในระดับอุดมศึกษา มัธยมปลาย และมัธยมต้น ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ว่างงานระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 16.2% หรือมีจำนวน 8.1 หมื่นคน โดย 65% ระบุสาเหตุว่าหางานไม่ได้ ขณะที่ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบ 3 ใน 4 อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี

สำหรับอัตราการว่างงานในระบบอยู่ที่ 1.82% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 1.93% โดยมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานทั้งสิ้น 7.4 หมื่นคน ซึ่งกว่า 95% เป็นแรงงานในภาคการผลิต

หอการค้าไทย มอบสมุดปกขาว เสนอรัฐ ปลุกเศรษฐกิจไทย โต 3 %

วันนี้ (24 พ.ย.2567) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทย รวบรวมประเด็นและข้อเสนอแนะจากงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ และทำเป็น สมุดปกขาว นำเสนอแนวทางในการพาประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยแนวทางสำคัญประกอบด้วย 2 แกนหลัก คือ การเชื่อมโยง (Connect for Growth) เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแกร่ง และ การนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาว (Innovating for Sustainability) โดยส่งมอบสมุดปกขาวต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

สำหรับประเด็นและข้อเสนอแนะที่หอการค้าฯ นำเสนอในสมุดขาว เพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแก่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย ข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน 3 ข้อเสนอหลัก คือ

1. การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ โดยภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนและต้นทุนของผู้ประกอบการ การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานและบริการที่จำเป็น การตรึงราคาค่าไฟฟ้า – น้ำมันดีเซล การผลักดันให้มีการจัดตั้ง กรอ.พลังงานการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี การกระจายงบประมาณไปยังภูมิภาคอย่างทั่วถึง และการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการคูณสอง เพื่อเพิ่มกาลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังขอให้รัฐบาลสานต่อการขับเคลื่อนการยกระดับเมือง 10 จังหวัดนำร่อง ที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้

2. การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs แก้ไขปัญหาหนี้ ที่ประชาชนและ SMEs กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้หนี้ คือ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน การคลัง ควบคู่กัน พร้อมกับการกระจายรายได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

นอกจากนี้ ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ ดูแลการค้าให้เป็นธรรม ไม่เป็นตลาดที่ดัมพ์สินค้าไร้คุณภาพ ซึ่งจะทำลายตลาดระยะยาวของประเทศ

3. การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะ การเร่งดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หอการค้าฯ ได้ เสนอให้จ.ปราจีนบุรี ให้เป็นหนึ่งในพื้นที่ EEC ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการลงทุนใน EEC ได้อีกมหาศาล การรักษาโมเมนตั้มภาคธุรกิจที่ไทยยังแข่งขันได้ ทั้งในด้าน Food, Tourism, Wellness และโอกาสการเป็นศูนย์กลางด้าน Logistics & Connectivity และ Education Hub

ประธานหอการค้ากล่าวอีกว่า การเร่งดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve ด้าน AI, Digital, EV Car และ Green Energy การเจรจากับเพื่อนบ้านเพื่อยกระดับจุดผ่านแดนทางการค้า การบริหารจัดการน้ำไม่ให้เกิดท่วมและแล้งซ้ำซาก และ การปรับปรุงนโยบายด้านแรงงานให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมี 6 ประเด็น ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ การค้าและการลงทุน โอกาสและความท้าทาย ,เกษตรและอาหาร : คลังอาหารของไทยและโลก ,ท่องเที่ยวและบริการ : แหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ,การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว ,ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานยกระดับการแข่งขันของประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค : สร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนทำให้ประเทศพัฒนาไปอย่างก้าวไกล ต้องชื่นชมในความมุ่งมั่นของทุกคนในการเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยได้เติบโตพัฒนาไปอย่างก้าวหน้าและมีความต่อเนื่องและเพื่อให้ผู้บริหารภาครัฐในหลายๆระดับได้เห็นภาพ

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ภาครัฐพร้อมที่จะให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือในเรื่องของการบริหารการปกครอง และช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ เป็นกลไกในการสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะถือว่ามีความจำเป็นในยุคที่ประเทศไทยต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจมั่นใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่านจะตระหนักถึงความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศมั่นคงอย่างยั่งยืนและยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ หากเอกชนมีปัญหาสามารถแจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้โดยตรง

จับตาเศรษฐกิจโลก ในยุคทรัมป์ 2.0

จุดยืนที่ในเวลานี้ ผู้สันทัดกรณีหลายคนเรียกว่าเป็น “อเมริกา เฟิรสต์ ด็อกทรีน” นั้นสะท้อนอุดมการณ์กีดกันทางการค้าอย่างชัดเจน และแม้จะได้รับความนิยมอย่างมากภายในประเทศ แต่จะส่งผลผูกพันต่อเนื่องอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก คำสัญญาที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้ ตั้งแต่การตั้งกำแพงภาษี 10%-20% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด หรือสูงถึง 100% สำหรับสินค้าบางหมวดจากประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงการหวนกลับไปให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาสูงสุด โดยไม่แยแสว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากมายแค่ไหนก็ตาม

ยุทธศาสตร์ของทรัมป์นั้นชัดเจนมาก ว่าต้องการปรับเปลี่ยนระบบการค้าโลกให้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้ในทั่วทุกมุมโลก เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ในทางปฏิบัตินั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดการผูกพัน พึ่งพาสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ, การให้ความสำคัญต่อความตกลงการค้าทวิภาคี, การถอนตัวออกจากกรอบความร่วมมือพหุภาคีต่าง ๆ, การรื้อความตกลงทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจีน เม็กซิโก หรืออินเดีย สิ่งที่จะกลายเป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องมาจากการนี้ก็คือ การตอบโต้ทางการค้าด้วยกำแพงภาษี และความปั่นป่วนของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ

จุดยืนตามอุดมการณ์โปรเท็กชั่นนิสม์ของทรัมป์ อาจสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สนับสนุนภายในประเทศ ที่เชื่อหรือคิดว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบจากโลกาภิวัตน์ แต่โดยรวมแล้วก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคอเมริกัน ในรูปของราคาสินค้าที่แพงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคลดลง และกลายเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจอเมริกันชะลอตัวในขณะเดียวกัน การขาดความตกลงพหุภาคีทางการค้า ก็สามารถสร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้นกับบริษัทอเมริกันในตลาดโลก เสี่ยงต่อการแตกแยกกับพันธมิตร และเร่งให้เกิดการจับกลุ่มทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นทางเลือกแยกออกมาจากอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาให้เร็วขึ้นและมากขึ้น

ว่ากันว่าผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลสะเทือนต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาติกำลังพัฒนาที่พึ่งพาสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดระบายสินค้า บรรดาประเทศในละตินอเมริกา, แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เดิมเคยได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดอเมริกา อาจเผชิญหน้ากับการถูกจำกัดการเข้าถึงโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น อุตสาหกรรมการเกษตร, สิ่งทอ และเทคโนโลยี บีบบังคับให้ประเทศเหล่านี้หันไปหา “ตลาดทางเลือก” และอาจต้องพึ่งพามหาอำนาจเกิดใหม่ อย่างเช่นจีน จนก่อให้เกิดกลุ่มพันธมิตรใหม่ในระดับภูมิภาคมากขึ้น

การเคลือบแคลงหรือเพิกเฉยต่อสถาบันระหว่างประเทศ อาทิ องค์การการค้าโลก ของทรัมป์ อาจก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติกำลังพัฒนา ที่เดิมพึ่งพาสถาบันทำนองนี้เพื่อไกล่เกลี่ย ยุติข้อพิพาททางการค้า เมื่อผสมผสานกับการขาดหายไปของกรอบความร่วมมือพหุภาคี สภาพแวดล้อมทางการค้าโลกอาจเปลี่ยนไปกลายเป็นเวทีที่มีการแข่งขันช่วงชิงกันมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศถูกบีบให้ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ยึดถือผลประโยชน์ของชาติตนเป็นสำคัญ

สำหรับชาติกำลังพัฒนา ทรัมป์ 2.0 จะนำพาซึ่งความผันผวนทางเศรษฐกิจมาให้ ต้นทุนหนี้สินสูงขึ้น, การเข้าถึงตลาดอเมริกันลดลง, ความจำเป็นต้องพึ่งพาพันธมิตรทางเลือกทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ระเบียบเศรษฐกิจโลกจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะแตกแยก แบ่งฝักฝ่าย แยกย่อยกลายเป็นกลุ่มระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ไร้ระบบ ไร้กฎเกณฑ์หนึ่งเดียวให้ยึดถืออีกต่อไป

ราคาน้ำมันขยับลงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มทำกำไรอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้

Investing.com – ราคาน้ำมันขยับลงเล็กน้อยในตลาดเอเชียวันนี้ แต่ยังมีแนวโน้มที่ดีในสัปดาห์นี้หลังจาก OPEC+ ชะลอแผนการเพิ่มกำลังการผลิต ในขณะที่โอกาสที่อุปทานในสหรัฐอาจหยุดชะงักก็ช่วยสนับสนุนตลาด

ตลาดน้ำมันอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นจากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 นั้นยังช่วยจุดประกายการปรับตัวขึ้นอย่างกว้างขวางในตลาดการเงิน

ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนรักษาความเสี่ยงในราคาน้ำมันไว้เช่นกัน เนื่องจากอิสราเอลยังคงโจมตีฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ต่อไปในกาซาและบางส่วนของเลบานอน

น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนมกราคมลดลง 0.3% มาเป็น 75.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ลดลง 0.3% มาเป็น 71.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 11:00 น. (GMT+7) ซึ่งทั้งสองสัญญาปรับตัวขึ้นระหว่าง 3% ถึง 4% ในสัปดาห์นี้

ราคาน้ำมันมีแรงหนุนจากการชะลอการเพิ่มการผลิตของ OPEC+

ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนตลาดน้ำมันในสัปดาห์นี้คือการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ระบุว่าจะชะลอแผนการเพิ่มกำลังการผลิตที่จะเริ่มในเดือนธันวาคมออกไป

กลุ่มได้ลดการผลิตลงเกือบ 6 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพื่อสนับสนุนราคา และการลดการผลิตเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไปนานขึ้น

ความระมัดระวังต่อพายุเฮอริเคนราฟาเอลก็ช่วยหนุนราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้เช่นกัน เนื่องจากผู้ประกอบการด้านพลังงานหลายรายหลายรายได้อพยพออกจากพื้นที่ในอ่าวเม็กซิโกขณะที่พายุเคลื่อนผ่านภูมิภาค

จับตากระตุ้นเศรษฐกิจจีนจากการประชุม NPC

ตลาดน้ำมันกำลังจับตาดูการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ของจีน ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

การประชุมนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้และคาดว่าจะสิ้นสุดในวันนี้

ปักกิ่งได้ประกาศมาตรการทางการเงินและการคลังในเดือนที่ผ่านมาหลายรายการ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การใช้จ่ายด้านการคลังเพิ่มเติมจะต้องได้รับการอนุมัติจาก NPC ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการในสัปดาห์นี้

นักวิเคราะห์คาดว่าการใช้จ่ายใหม่อย่างน้อย 10 ล้านล้านหยวน (1.6 ล้านล้านดอลลาร์) จะถูกอนุมัติ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกดีขึ้น

หากเป็น ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนแบบนี้

ผลเลือกตั้งอเมริกาต่อเศรษฐกิจไทยจะเป็นยังไง เรื่องนี้น่าคิดมาก ถ้ามองโดยรวม หาก ‘กมลา แฮร์ริส’ จากเดโมแครต รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันชนะ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ได้แตกต่างจากเดิมทุกวันนี้ถ้าเป็น ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จากรีพับลิกัน ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะต้องรับมือกับการกีดกันการค้าที่มาแรงขึ้น และการส่งออกก็เสี่ยงกระทบ

นโยบายของทรัมป์ที่น่าจะส่งแรงกระเพื่อมใหญ่กับการค้าโลก ที่ประกาศตอนหาเสียงว่าจะ “ขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจากจีน” และ “ขึ้น 10% กับทุกสินค้าที่มาจากประเทศอื่นทั่วโลก”อาจเร่งให้การค้าโลกหดตัวเร็วกว่าที่คาด และแน่นอนว่าส่งผลสะเทือนถึงไทยด้วยในด้านการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อทุกสินค้านำเข้าจะส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม

อุตสาหกรรมไทยที่จะรับศึกหนักถ้าทรัมป์มา คือ สินค้าส่งออกของไทยที่สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าและอาจถูกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เพราะอาจเป็นอุตสาหกรรมที่จีนใช้ไทยเป็นช่องทางผ่านเพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯส่วนนิคมอุตสาหกรรมในไทย น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากประเด็นการย้ายถิ่นฐานในระยะยาวของทุนในประเทศที่สหรัฐฯกีดกัน

การท่องเที่ยว ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์มีความเสี่ยงสูงจากอุปสงค์ของจีนที่ลดลงเนื่องจากภาษีนำเข้าจากจีนที่สูงขึ้นภาคการผลิต เช่น เหล็กและเหล็กกล้า เฟอร์นิเจอร์ สารเคมี และยานยนต์ รวมถึง SMEs จำนวนมากในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกมีความเสี่ยงสูงจากการแข่งขันนำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคการเงินที่มีความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจเหล่านี้สูง

KKP Research ประเมิน 5 ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ไว้ให้เห็นภาพ ดังนี้

1.ผลกระทบทางตรงจากภาษีนำเข้า 10%

(Tariff effect) การขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ จะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญที่สุดสำหรับสินค้าส่งออกของไทย (สัดส่วนส่งออกไปตลาดสหรัฐอยู่ที่ 17.5% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2023

นอกจากนี้ การที่ดุลการค้าของไทยไม่ได้ขาดดุลมากกว่านี้ส่วนหนึ่งเพราะตลาดสหรัฐฯ สามารถรองรับสินค้าส่งออกจากไทยได้มากขึ้น ทำให้ไทยมีการเกินดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ สูงขึ้นถึง 6% ของ GDP แต่หากดุลการค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นอาจทำให้ดุลการค้าโดยรวมไทยขาดดุลเพิ่มขึ้นไปอีก

2.การเบี่ยงเบนทางการค้าผ่านตลาดอาเซียน (Trade diversion)
ประโยชน์ส่วนหนึ่งที่ไทยอาจได้รับคือหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่น อาเซียนที่มีอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า ซึ่งไทยอาจจะยังได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าในส่วนนี้

อย่างไรก็ตาม การเบี่ยงเบนทางค้าอาจเป็นดาบสองคมเพราะมีความเสี่ยงที่จีนจะใช้ไทยเป็นเพียงช่องทางผ่านของสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ เท่านั้น (Re-routing) ซึ่งกิจกรรมนี้สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศไทยน้อยมาก และยังเสี่ยงกับการถูกมาตรการตอบโต้อื่น ๆ จากสหรัฐฯ อีกด้วย

3.การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศ (Relocation)
เช่นเดียวกับการได้ประโยชน์บางส่วนจากการเบี่ยงเบนทางการค้า หากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจะทำให้บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ มีการกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุนและห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และไทยเองอาจยังได้รับอานิสงค์จากการโยกย้ายการลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจเห็นเม็ดเงินลงทุนชะลอตัวเพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้า และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับในระยะยาวผ่านช่องทางนี้ อาจน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยเอง

4.ปัญหาสินค้าจีนทะลักรุนแรงมากขึ้น (China dumping)

หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนเพิ่มขึ้น จะทำให้มีความเสี่ยงที่อุปสงค์ในจีนชะลอตัวลงแรงยิ่งขึ้น และอุปทานส่วนเกินในจีนไม่สามารถระบายไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายนัก ทำให้สินค้าต่าง ๆ จะถูกนำมาขายในตลาดอื่น ๆ โดยเฉพาะในอาเซียน รวมทั้งไทยมากขึ้นไปอีก ซึ่งสินค้าที่ทะลักเข้ามาจะยิ่งทำให้ผู้ผลิตในไทยเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีนมากยิ่งขึ้น และเสี่ยงทำให้ผู้ผลิตในไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ต้องลดปริมาณการผลิตลงต่อเนื่องหรือปิดตัวโรงงาน

5.ค่าเงินในภูมิภาคเสี่ยงอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอาจมีแนวโน้มปรับอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อชดเชยกับอัตราภาษีนำเข้าที่ถูกปรับขึ้น หากย้อนกลับไปดูในช่วงสงครามการค้า (Trade war) ในปี 2018 ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าตามดัชนีดอลลาร์หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อจีน

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทั้งดุลการค้าที่เผชิญกับปัญหาความสามารถในการแข่งขันและภาษีนำเข้าที่จะสูงขึ้น รวมไปถึงดุลบริการไม่กลับไปสูงแบบในอดีต จะทำให้ค่าเงินบาทมีความอ่อนไหวต่อทิศทางของดอลลาร์และภาษีนำเข้าสูงขึ้นกว่าในอดีต

ราคาทองวันนี้ 26 ตุลาคม 2567 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 150 บาท

สมาคมค้าทองคำ รายงานว่า “ราคาทองวันนี้ 26 ตุลาคม 2567” ล่าสุด เวลา 09:14 น. ราคาทองครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งบาทละ 43,700 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 44,200 บาท

ราคาทองวันนี้ 26 ตุลาคม 2567 ราคาทองคำแท่ง และราคาทองรูปพรรณ

  • ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 43,600.00  บาท ขายออกบาทละ 43,700.00 บาท
  • ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 42,811.84 บาท ขายออกบาทละ 44,200.00 บาท

ราคาทองวันนี้ 2 สลึง หรือ 50 สตางค์

  • ทองคำแท่ง 2 สลึง รับซื้อ 21,750.00 บาท ขายออก 21,800.00 บาท
  • ทองรูปพรรณ 2 สลึง รับซื้อ 21,360.44 บาท ขายออก 22,050.00 บาท

ราคาทองวันนี้ 1 สลึง

  • ทองคำแท่ง 1 สลึง รับซื้อ 10,875.00 บาท ขายออก 10,900.00 บาท
  • ทองรูปพรรณ 1 สลึง รับซื้อ 10,680.22 บาท ขายออก 11,025.00 บาท

ราคาทองวันนี้ 1/2 สลึง  (ครึ่งสลึง) 

  • ทองคำแท่ง 1/2 สลึง(ครึ่งสลึง) รับซื้อ 5,437.50 บาท ขายออก 5,450.00 บาท
  • ทองรูปพรรณ 1/2 สลึง(ครึ่งสลึง) รับซื้อ 5,340.11 บาท ขายออก 5,512.50 บาท

ราคาทองที่กล่าวมา ยังไม่รวมค่ากำเหน็จ และอาจเปลี่ยนแปลงตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ โปรดตรวจสอบราคาทองล่าสุดอีกครั้งที่นี่

เงินดิจิทัลเฟส 2 แจก 10,000 บาท คลังตอบแล้วแจกเงินวันไหน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงเงินดิจิทัลเฟส 2 แจก 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า ยืนยันดำเนินการต่อแน่นอน โดยกระบวนการในการพัฒนาระบบดิจิทัลวอลเล็ต ยังเดินหน้าอยู่ ส่วนจะเริ่มแจกเงินได้เมื่อไหร่นั้น ขอรอให้การประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน โดยคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีกำหนดนัดประชุมนัดแรกภายในปลายเดือน ต.ค. ถึงต้นเดือน พ.ย. 67

นอกจากนี้ รัฐบาลพยายามเดินหน้าเรื่องระบบการจ่ายเงินดิจิทัล ซึ่งยังเป็นวอลเล็ตในรูปแบบ Open Loop ตามเดิม ส่วนการลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต ของกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน คาดว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนผ่้านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐได้ในเดือน พ.ย. 67

สรุป : เงินดิจิทัลเฟส 2 แจกเมื่อไหร่นั้น ต้องรอความชัดเจนผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คาดว่าในเร็ววันนี้

“ทองคำ” บวก 300 บาท เงินบาทอ่อนหนุนราคาพุ่ง

ทองคำบวก 300 บาท

“ทองคำ”ในประเทศ เปิดตลาดบวก 300 บาท รับบาทอ่อน 33.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สวนทาง ราคาทองคำโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง 2 วัน จากแรงกดดันเงินดอลลาร์แข็งค่า “ ทองรูปพรรณ”ขายออกวันนี้ 42,150 บาท

วันนี้ (4 ต.ค.2567) เว็บไซต์ “ฮั่วเซ่งเฮง” ภาพรวมความเคลื่อนไหวทั้งวัน พบว่า ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ซึ่งได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังจากดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย. โดย ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 54.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2566 ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งอิสราเอลได้โจมตีศูนย์บัญชาการหน่วยข่าวกรองของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในกรุงเบรุตของเลบานอน ส่วนกองทุน SPDR ซื้อทอง 2.58 ตัน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 148,000 ตำแหน่ง จากที่เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานเดือนก.ย. ตลาดคาดจะทรงตัวที่ 4.2% และค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเดือนก.ย.

“ฮั่วเซ่งเฮง” วิเคราะห์ราคาทอง ระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลง หลังจากสัญญาณทางเทคนิคทั้ง MACD และ Modified Stochastic ของราคาทองคำใน Timeframe Day เกิดเส้นตัดกันลงมา อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของราคาทองคำไม่มากนัก ทั้งนี้ในช่วงกลางวันนี้ราคาทองคำอาจยังเคลื่อนไหว Sideways

ส่วน ราคาทองตลาดโลก แนวรับ : 2,640 และ 2,630 ดอลลาร์ แนวต้าน : 2,670 และ 2,680 ดอลลาร์ ระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลง หากเก็งกำไรระยะสั้น สามารถเปิดสถานะขายบริเวณ 2,670 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,680 ดอลลาร์ และ Take profit บริเวณ 2,640 ดอลลาร์

ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 41,450 และ 41,350 บาททท แนวต้าน : 41,750 และ 41,850 บาท เงินบาทอ่อนค่ามากสุด 33.19 บาท ซึ่งหนุนราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเงินบาทอ่อนค่าจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง แม้ราคาทองคำโลกจะปรับตัวลง แต่การปรับตัวลงไม่มากนัก ทำให้ราคาทองคำแท่งยังคงสดใส และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะนำ Let Profit Run

สำหรับ ราคาทองบวก 300 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,650 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,550 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 42,150บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,795.56 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,658.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.16 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,706 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,913 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,325 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 42,150 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ต.ค. บวก 1,250 บาท